มวยพักยก แทงมวยออนไลน์ ฝาก ถอน รวดเร็ว บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เด็กๆ จะได้ออกจากเกาะแล้ว Jurassic World : Camp Cretaceous ซีซั่น 3 โดย แอดมินเพจกะเทยนิวส์

กะเทยนิวส์

ยาวนานกันเหลือเกินแม่ กับการ์ตูนเด็ก Original Netflix ที่เป็นเรื่องราว Spin-Off มาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Jurassic World ซึ่งเทยก็ดันไปกดติดตามไว้ตั้งแต่ซีซั่น 1 ว่าบาปว่าบุญ นางเดินทางมายาวนานจนถึง ซีซั่น 3 แล้วจ้า เทยเลยอยากจะแวะมาส่งท้ายเดือนนี้กันเสียหน่อยแม่

Jurassic World Camp Cretaceous ซีซั่น 3

เป็นเรื่องราวของกลุ่มเด็กๆ 6 คน ที่ได้รับโอกาสไปเข้าค่ายที่เกาะ Isla Nublar สถานที่ตั้งของ Jurassic World ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับในภาพยนตร์ ก่อนที่สวนสนุกจะเกิดเหตุขัดข้อง และทำให้ผลงานการทดลองอย่างเจ้า Idominus Rex ที่เป็นสัตว์ดุร้าย หลุดออกมา แต่ด้วยความขัดข้องไม่คาดคิด เด็กทั้งหกคนประกอบไปด้วย เอเดรียส,บรู๊คลิน,ยาส,แซมมี่,เคนจิ และ เบน ต้องถูกทิ้งไว้บนเกาะ พวกเขาทั้ง 6 จึงต้องร่วมกันหาวิธีเอาตัวรอดในเกาะที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ ด้วยทักษะที่ทั้ง 6 คนมีติดตัว ต้องร่วมมือกันรอดไปให้ได้

ผ่านมาตลอด 2 ซีซั่น กลุ่มเด็กๆทั้งหกคน ต่างต้องเผชิญกับความอันตรายบนเกาะหลากหลายรูปแบบ ในซีซั่นแรก กับเหตุการณ์เกาะกำลังจะต้องอพยพคนกันออกไป ในซีซั่นสอง เมื่อพวกเขาถูกทิ้งไว้ ก็ต้องเผชิญกับสัตว์ต่างๆมากมาย และการเอาตัวรอดด้วยการหาเสบียง และในซีซั่นนี้ เมื่อทั้งหกได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง พวกเขาจะต้องช่วยกันหาวิธีออกไปจากเกาะนี้ด้วยตัวเองกันให้ได้ พ่วงกับการเผชิญกับความลับสำคัญที่ถูกซุกซ่อนไว้ในเกาะนี้อีกด้วย

แต่เธอขา มันน่าตกใจเหมือนกันนะคะ พอไล่ไทม์ไลน์กันไปดีดี เอ๊า เด็กทั้งหกคนติดเกาะกันมาหกเดือนแล้วจ้า และนั่นยิ่งทำให้มิตรภาพความเป็นเพื่อนของทั้งหกคนที่ต่างคนต่างที่มากัน เริ่มแน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้นไปอีกล่ะเธอ และเนื้อเรื่องในซีซั่นสาม ก็ยังพาเราไปพบเจอกับเหตุการณ์เดียวกับภาพยนตร์ Jurassic World : Fallen Kingdom ไปอีก รวมไปถึงตัวร้ายอย่าง Dr.Wu ที่ก็กลับมาเพื่อทำการทดลองอันน่าสยดสยองของฮีให้สำเร็จอีกด้วยล่ะ

เอ้อ… สนุกสนานไม่ไหว

แน่นอนว่าความพิเศษของซีรีส์การ์ตูนสำหรับเด็กเรื่องนี้ นอกจากจะเป็น Spin-Off เรื่องราวต่อจากภาพยนตร์ที่เราๆเธอๆคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ตัวการ์ตูนยังสอดแทรกการอุ้มชูความหลากหลายของตัวละครเด็กๆเอาไว้ได้ดี ตั้งแต่เด็กผิวดำ ที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีความฝัน เด็กสาวเน็ตไอดอลที่ติดมือถือทั้งวันทั้งคืน เด็กสาวชาวเอเชียที่ครอบครัวต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ไปต่อ แม้จะต้องส่งลูกสาวมาเป็นสายลับ เด็กสาวนักกีฬาที่มีเกราะป้องกันตัวเองสูง เด็กหนุ่มเอาแต่ใจที่ทำอะไรไม่เป็น หรือแม้แต่เด็กหวาดกลัวโลกที่ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากในโลกกว้าง

เมื่อเด็กทั้งหกคนต้องมาอยู่รวมกัน การพยายามหาจุดเชื่อโยงมิตรภาพระหว่างกันให้พอดี และเผชิญกับเรื่องราวที่ไม่คาดคิดให้ผ่านไปได้ในแต่ละเรื่องราว มันช่างยากลำบากเสียจริงนะเธอ

ตัดมาในส่วนของไดโนเสาร์ แม้จะเป็นการ์ตูน แต่เราก็จะได้พบเจอกับไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ๆที่ไม่ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ รวมถึงซีนที่น่าลุ้น น่าหวาดเสียว ชวนตื่นเต้นอีกหลายซีนไม่ว่าจะเป็ฯการเผชิญกับไดโนเสาร์ในสายหมอก ฝูงไดโนเสาร์เรืองแสงได้ หรือแม้แต่ไดโนเสาร์ทดลองพันธุ์ใหม่ที่มีพิษร้ายแรง เด็กๆทั้งหกคน ที่แม้จะอยู่เกาะนานถึงหกเดือนแล้ว แต่ก็ต้องงัดกลเม็ดมาเอาตัวรอดกันต่ออีกยกในซีซั่นนี้ด้วยล่ะเธอ

และที่สำคัญ ใครจะไปคิดว่าเด็กๆเหล่านี้ กลับเป็นคนได้ล่วงรู้ความลับสำคัญของจักรวาล Jurassic World ก่อนที่ไดโนเสาร์ จะรั่วไหลออกไปในเหตุการณ์คฤหาสน์ในภาค Fallen Kingdom อาจจะเป็นไปได้ว่าเด็กทั้งหกคนนี้ แม้จะหนีออกไปจากเกาะได้ แต่เรื่องราวของ Camp Cretaceous อาจจะยังไม่จบลงแค่นี้ก็เป็นได้นะเออ

ไปติดตามกันได้ใน Jurassic World Camp Cretaceous Season 3 บน Netflix กันนะจ้า

เหยี่ยวเทย รายงาน

ย้อนกลับไปในปี 1997 Anaconda เป็นหนังที่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ แต่ทำรายได้มหาศาลทั่วโลก แถมยังได้ดารานักร้องดาวรุ่งอย่าง เจนิเฟอร์ โลเปซและไอซ์ คิวป์ มารับบทนำ พ่วงด้วยดารารุ่นใหญ่อย่างจอน วอยซ์ มารับบทเป็นกองคาราวานถ่ายทำสารคดีจาก National Geographic ร่วมเดินทางเข้าป่าอเมซอนไปถ่ายทำชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง แต่ระหว่างการเดินทางผ่านลุ่มแม่น้ำ พวกเขาก็พบว่ามีอสูรกายงูยักษ์จ้องเล่นงานพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาจึงต้องหาหนทางเอาตัวรอดก่อนจะลงไปอยู่ในท้องของอนาคอนด้า

Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid ถูกสร้างขึ้นมาในปี 2004 โดยไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆกับหนังภาคแรก โดยหนังภาคนี้แทบจะหยิบโครงสร้างของหนังภาคแรกมาทั้งยวง เปลี่ยนแค่กลุ่มตัวละครหลักจากทีมถ่ายทำสารคดีให้กลายเป็นเหล่านักวิจัยจากบริษัทยามีแผนการเดินทางไปยังป่าลึกของเกาะบอร์เนียว เพื่อไปนำ “กล้วยไม้สีเลือด” มาทำการสังเคราะห์องค์ประกอบทำยา แน่นอนว่าระหว่างทางพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเหล่างูยักษ์อนาคอนด้า

เหล่าตัวละครนักวิจัยและกองคาราวานร่วมเดินทาง เรียกได้ว่าลอกแบบจากหนังภาคแรกมาครบครัน โดยเฉพาะการวางบุคลิกตัวเอก ตัวร้าย ตัวตลก เป็นรูปแบบจำเพาะ (หนังยุคปี 2000 ต้นๆ มักจะมีการกำหนดลักษณะจำเพาะของตัวละครเอาไว้ เด่นชัดที่สุดคือ นักแสดงผิวสี มักจะต้องเล่นบทตลก พูดจาหยาบคาย ขี้โวยวาย เป็นต้น)   

น่าเสียดายที่หนังชื่อ Anacondas แต่กว่าที่ผู้ชมจะได้เห็นการแผลงฤทธิ์ของงูยักษ์แบบคาหูคาตา ก็กินเวลาเล่าเรื่องไปกว่าเกือบหนึ่งชั่วโมง จนเหตุการณ์ในภาคนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแสดงบทเกาเหลากันระหว่างตัวละครจนน่ารำคาญ มิหนำซ้ำสิ่งที่คนดูต้องการที่สุดก็คือ งูยักษ์ กลับปรากฏตัวบนจอน้อย และไม่ค่อยจะสาแก่ใจนักสำหรับฉากไคลแม็กซ์ที่ดูราบเรียบจนเกินไป

อย่างไรก็ตามถ้าหากวิเคราะห์ลักษณะของงูอนาคอนด้าในหนังภาค Blood Orchid จะพบว่า การใส่อักษรตัว s ท้ายชื่อหนังเพื่อเพิ่มปริมาณของจำนวนงูยักษ์เข้ามา แต่หนังแทบไม่ได้มีการใช้ประโยชน์จากจำนวนงู ในการสร้างความตื่นเต้นระทึกขวัญจากสิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร เว้นแต่เพียงฉากบ่องู อันปรากฏภาพเหล่าอนาคอนด้ากำลังผสมพันธุ์กันในตอนท้าย ซึ่ง “มาช้า” เกินไปอย่างน่าเสียดาย แถมยังไม่มีการแผลงฤทธิ์แบบหมู่คณะงูใดๆ ให้คนดูสาแก่ใจเลยสักนิด

สุดท้ายแล้ว แม้ Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid จะเป็นหนังฮิตตามสตรีมมิ่งทั่วโลกโดยตลอดมา แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ในแง่ของงานสร้างและบทภาพยนตร์นั้น ไม่อาจจะเทียบเคียงหนังภาคแรกในทุกด้าน ส่วนแฟรนไชนส์โฮมวิดีโอภาคต่อหลังจากหนังภาคนี้ นั้น บอกได้เลยว่า “อย่าไปเสียเวลาเปิดดูเลยครับ หนักหนากว่า The Hunt for the Blood Orchid หลายเท่าตัว”

1 2 3 4